tag:blogger.com,1999:blog-66850653679997575182024-02-21T07:02:04.703-08:00เกร็ดความรู้ทางวิทยาศาสตร์อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.comBlogger11125tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-66354719278799661422011-05-11T20:11:00.000-07:002011-05-13T13:49:38.435-07:00ตัวอย่างโครงงาน<span style="color: magenta;">ชื่อโครงงาน</span> สีผมสวยด้วยใบกาว <br />
<span style="color: magenta;">ผู้จัดทำ</span> เด็กหญิงลัดดาวัลย์ ฆารศรี<br />
เด็กหญิงกาญจนา พละสินธุ์ <br />
เด็กหญิงธิติมา น้อยนาจารย์ <br />
<span style="color: magenta;">ครูที่ปรึกษา</span> นางสุภาพรรณ ดาษถนิม <br />
นางสุพรรณี ถนอมสงัด <br />
<span style="color: magenta;">ผลงาน</span> เข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เนื่องในสัปดาห์<br />
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร วันที่ 18-19 สิงหาคม 2549 <br />
<span style="color: magenta;">จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า</span> <br />
1. เพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด และปริมาตรของน้ำสะอาดในการสกัดสารจากใบกาวสด <br />
2. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของสารสกัดจากใบกาวสดตามอัตราส่วนที่เหมาะสม<br />
3. เพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์และปริมาตรของน้ำสะอาดในการนำผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม <br />
4. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วนที่เหมาะสม <br />
5.เพื่อนำพืชในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์และเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ <br />
<br />
<span style="color: magenta;">สมมติฐานของการศึกษา</span> <br />
1. สารสกัดจากใบกาวจะมีประสิทธิภาพในการทำให้สีผมเปลี่ยนไป <br />
2. ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์จะมีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมได้เหมือนกับสารสกัดใบกาวสดและสามารถนำมาใช้แทนกันได้ <br />
<br />
<span style="color: magenta;">วัสดุ-อุปกรณ์และวิธีดำเนินการ</span> <br />
มวลของใบกาว : ปริมาตรของน้ำสะอาด 100 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร<br />
1. นำใบกาวสดมวล 100 กรัม มาปั่นให้ละเอียด<br />
2. นำใบกาวที่ได้จากข้อ 1 ใส่ลงในกะละมังใบเล็ก <br />
3.เติมน้ำสะอาด ปริมาณ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลงในกะละมังที่มีใบกาวปั่นละเอียด <br />
4.คั้นใบกาวในกะละมังใบเล็กจนกระทั่งใบมีสีซีด <br />
5.กรองเอาสารที่ได้จากข้อ 4 โดยใช้ผ้าขาวบางและใช้ตะแกรงกรอง <br />
6.ได้สารที่สกัดมาจากการสกัดใบกาว <br />
7.นำสารสกัดใบกาวสดลงในหลอดทดลองเพื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนอื่น <br />
<br />
<span style="color: magenta;">วัสดุ-อุปกรณ์</span> <br />
1.ตัวอย่างเส้นผมที่นำมาทดลอง <br />
2.สารสกัดใบกาวสด ตามอัตราส่วนที่เลือกไว้ <br />
3.น้ำเปล่า <br />
<br />
<span style="color: magenta;">วิธีดำเนินการทดลอง</span><br />
1.นำสารสกัดจากใบกาวสด ตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้มาชโลมเส้นผมที่นำมาทดลอง<br />
2.หมักตัวอย่างผสมกับสารสกัดใบกาวสดโดยหมักไว้นาน 30 นาที <br />
3.ครบ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า <br />
4.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีผม <br />
<br />
<span style="color: magenta;">วัสดุ-อุปกรณ์</span> <br />
1. ใบกาวแห้ง มวล 150 กรัม <br />
2. เครื่องปั่นผลไม้จำนวน 1 เครื่อง <br />
3. เครื่องชั่ง จำนวน 1 เครื่อง <br />
4. ผ้าขาวบาง จำนวน 1 ผืน <br />
5. บีกเกอร์ จำนวน 2 ใบ <br />
6. น้ำสะอาด จำนวน 60 ลูกบาศก์เซนติเมตร <br />
<br />
<span style="color: magenta;">วิธีดำเนินการทดลอง</span> <br />
ขั้นเตรียมผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ <br />
นำใบกาวแห้ง มวล 150 กรัมใส่ลงในโถเครื่องปั่น และปั่นจนกระทั่งได้ผงใบกาวบริสุทธิ์ที่ละเอียด แล้ว กรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง เพื่อให้ได้ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ที่มีขนาดละเอียดเล็กที่สุด <br />
ขั้นการหาอัตราส่วนที่เหมาะสม <br />
1.ชั่งผงใบกาวบริสุทธิ์ มวล 5 กรัม และ 10 กรัม ใส่ลงในบีกเกอร์ 2 ใบ <br />
2.เติมน้ำลงในบีกเกอร์ที่มีผงใบกาวบริสุทธิ์ใบละ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร <br />
3.สังเกต การรวมตัวเป็นเนื้อเดียวของสาร <br />
<br />
<span style="color: magenta;">วัสดุ-อุปกรณ์</span> <br />
1.ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ มวลตามอัตราส่วนที่เลือกไว้ <br />
2.น้ำสะอาด ปริมาตรตามอัตราส่วนเหมาะสมที่เลือกไว้ <br />
3.ตัวอย่างเส้นผมที่นำมาทำการทดลอง <br />
<br />
<span style="color: magenta;">วิธีดำเนินการทดลอง </span> 1.นำผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ใส่ลงในบีกเกอร์ แล้วเติมน้ำสะอาดลงไปในบีกเกอร์มวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ต่อปริมาตรของน้ำสะอาด เป็นไปตามอัตราส่วนที่เลือกไว้ <br />
2.นำเอาส่วนผสมของข้อที่ 1 มาชโลมตัวอย่างเส้นผมที่นำมาทดลอง <br />
3.หมักตัวอย่างผมกับผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ไว้นาน 30 นาที <br />
4.ครบ 30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า <br />
5.สังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีผม <br />
<br />
<span style="color: magenta;">ผลการดำเนินการ </span><span style="color: magenta;">ตอนที่ 1</span> อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด กับปริมาตรของน้ำสะอาด คือ <br />
มวลใบกาวสด : ปริมาตรน้ำสะอาด ผลการสังเกต <br />
50 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร100 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ได้ของเหลวสีเขียวอมเหลืองได้ของเหลวสีเขียวเข้มอมเหลือง <br />
ทดลองหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสดกับปริมาตรน้ำสะอาด อัตราที่เหมาะสม คือ มวลของใบกาวสด 100 กรัมต่อน้ำสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะจะให้สารสกัดจากใบกาวสดมีสีเข้มที่สุด <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 2</span> ทดสอบประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผมเมื่อทดสอบกับอัตราส่วนของสารสกัดใบกาวสดที่เลือกไว้ ( มวลของใบกาวสด 100 กรัมต่อน้ำสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ) <br />
ระยะเวลาในการหมักผม การเปลี่ยนของสีผม <br />
30 นาที - ส่วนผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง- ส่วนผมที่เคยเป็นสีดำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล<br />
ทดลอบหาประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผมเมื่อทดสอบกับอัตราส่วนของสารสกัดใบกาวสด คือ มวลของใบกาวสด 100 กรัมต่อน้ำสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม คือ ผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงส่วนผมที่เคยเป็นสีดำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 3</span> การทดสอบหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์กับปริมาตรของน้ำสะอาดในการนำผงสกัดไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม <br />
มวลผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ : ปริมาตรน้ำสะอาด ผลการสังเกต <br />
5 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร10 กรัม : 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผงสกัดใบกาวรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำได้พอดีผงสกัดใบกาวบางส่วนที่ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำ<br />
ทดสอบหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์กับปริมาตรของน้ำสะอาดในการนำผงสกัดไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม อัตราส่วนที่เหมาะสมคือ มวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัมต่อปริมาตรของน้ำสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์จะรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำอย่างลงตัวพอดี <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 4</span> ทดสอบประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วน มวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัม ต่อน้ำ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร <br />
ระยะเวลาในการหมักผม การเปลี่ยนของสีผม <br />
30 นาที - ส่วนผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง- ส่วนผมที่เคยเป็นสีดำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล <br />
ทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม ของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วน มวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัม ต่อน้ำ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผม คือ ผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองส่วนผมที่เคยเป็นสีดำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล <br />
ตอนที่ 5 การเผยแพร่เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน จะเห็นว่า สารสกัดจากใบกาวสดและผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์สามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิม เป็นสีโทนน้ำตาล ดังนั้นจึงเหมาะที่นำมาใช้ในการเปลี่ยนสีผมแทนน้ำยาเปลี่ยนสีผมที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปเพราะไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะและประหยัดด้วย <br />
<br />
<span style="color: magenta;">สรุปผลและอภิปรายผล</span> <br />
<span style="color: blue;">สรุปผลการทดลอง</span> <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 1</span> อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของใบกาวสด กับปริมาตรของน้ำสะอาด <br />
คือ มวลของใบกาวสด 100 กรัม ต่อน้ำสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร เพราะจะให้สารสกัดจากใบกาวสดมีสีเข้มที่สุด <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 2</span> ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีของผม คือ ใบกาวสด 100 กรัม ต่อน้ำสะอาด 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ส่วนผมที่เคยเป็นสีดำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 3</span> อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์กับปริมาตรของน้ำสะอาดในการนำผงสกัดไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม คือมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัมต่อปริมาตรของน้ำสะอาด30 ลูกบาศก์-เซนติเมตร ซึ่งผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์จะรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำอย่างลงตัวพอดี <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 4</span> ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ตามอัตราส่วนคือมวลของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ 5 กรัม ต่อน้ำ 30 ลูกบาศก์เซนติเมตร ผลการทดสอบประสิทธิภาพการเปลี่ยนสีผมคือ ผมที่เคยเป็นสีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองส่วนผมที่เคยเป็นสีดำจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล <br />
<span style="color: magenta;">ตอนที่ 5</span> การเผยแพร่เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน <br />
จากการนำไปเผยแพร่ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน จะเห็นว่าสารสกัดจากใบกาวสด และผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ สามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิมเป็นสีโทนน้ำตาล ดังนั้นจึงเหมาะที่นำมาใช้ในการเปลี่ยนสีผม แทนน้ำยาสีผมที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปเพราะไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะและยังเป็นการประหยัดอีกด้วย <br />
<br />
<span style="color: magenta;">อภิปรายผลการทดลอง </span> จากการทดลองจะเห็นว่าสารสกัดใบกาวสดและผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์สามารถเปลี่ยนสีผมจากสีเดิมเป็นสีโทนน้ำตาลได้ เพื่อให้สะดวกต่อการนำไปใช้ในการเปลี่ยนสีผม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์จะดีกว่าเพราะไม่ยุ่งยากในการเตรียมสารสกัดเพียงแค่เอาผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ผสมกับน้ำก็สามารถนำไปใช้ได้เลย ซึ่งสะดวกต่อการนำไปใช้ มีกลิ่นหอมกว่าและสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าอีกด้วย ถ้าต้องการให้มีสีอื่นผสมควรใช้พืชชนิดอื่นมาเป็นส่วนผสม เช่น <br />
-ถ้าต้องการเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลม่วง ควรใช้ดอกอัญชัน เป็นส่วนผสมและใช้น้ำมะนาวผสมแทนน้ำเปล่า <br />
-ถ้าต้องการเปลี่ยนสีน้ำตาลช็อกโกแลต (สีน้ำตาลไหม้)ควรใช้กาแฟเป็นส่วนผสม การใช้สารสกัดด้วยใบกาวเปลี่ยนสีผม สามารถทำได้ทุกเวลาที่ต้องการ ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อเส้นผมและหนังศีรษะ <br />
<br />
<span style="color: magenta;">ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน</span> <br />
1. ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมของใบกาวสดต่อน้ำสะอาดในการทำสารสกัดใบกาว <br />
2. ได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของสารสกัดใบกาวสด <br />
3. ได้อัตราส่วนที่เหมาะสมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ต่อน้ำสะอาดในการเปลี่ยนสีผม <br />
4. ได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการเปลี่ยนสีผมของผงสกัดใบกาวบริสุทธิ์ <br />
5. ได้นำพืชในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์และปลอดภัยต่อสุขภาพ <br />
<br />
<br />
<span style="color: magenta;">ข้อเสนอแนะ</span> <br />
ควรทดลองนำพืชชนิดอื่นที่ให้สีแตกต่างกันมาเป็นส่วนผสม เพราะจะได้สีผมที่หลากหลายมาก ยิ่งขึ้นอ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-67389655576425579462011-05-11T20:02:00.000-07:002011-05-13T13:49:38.363-07:00ตัวอย่างโครงงานทางวิยาศาสตร์อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-9923295109780503202011-05-11T20:00:00.000-07:002011-05-13T13:49:38.276-07:00ใบความรู้เรื่องโครงงานทางวิทยาศาสตร์<span style="color: black;"><strong><span style="font-family: MS Sans Serif;">ความหมายของกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ <br />
<br />
กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ คือ กิจกรรมสำหรับนักเรียนในการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้คำแนะนำปรึกษาของครูหรือผู้เชี่ยวชาญ กิจกรรมนี้อาจทำเป็นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ และจะกระทำในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ โดยไม่จำกัดสถานที่</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">หลักการของกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ </span></strong></span><span style="color: black;"><strong><span style="font-family: MS Sans Serif;">- เน้นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยนักเรียนจะเป็นผู้ริเริ่มวางแผน และดำเนินการศึกษาด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทางและให้คำปรึกษา <br />
- เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยเริ่มจากการกำหนดปัญหา<br />
เลือกหัวข้อที่ตนสนใจจะศึกษา วางแผนการศึกษาค้นคว้าดำเนินการรวบรวมข้อมูลทำการทดลองและสรุปผลการศึกษาค้นคว้า <br />
- เน้นการคิดเป็น ทำเป็น และการแก้ปัญหาเป็นด้วยตนเอง <br />
<br />
ความสำคัญและคุณค่าของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ <br />
จุดมุ่งหมายระหว่างการเรียนวิทยาศาสตร์ทีกำหนดไว้ในหลักสูตรนั้นนอกจากจะต้องการให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระ<br />
ของวิชาวิทยาศาสตร์แล้ว ยังต้องการให้นักเรียนมีทักษะในการศึกษาค้นคว้า มีความสนใจวิทยาศาสตร์ มีเจตคติและค่านิยมทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย เช่น มีความใฝ่รู้ ซื่อสัตย์ มีเหตุผล มีใจเป็นกลาง มีความเพียรพยายาม มีความละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจ</span><br />
<span style="font-family: MS Sans Serif;">ประเภทต่าง ๆ ของโครงงานวิทยาศาสตร์ </span></strong></span><span style="color: black; font-family: MS Sans Serif;"><strong>โครงงานวิทยาศาสตร์ อาจแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ <br />
1. โครงงานประเภทการสำรวจ <br />
2. โครงงานประเภทการทดลอง <br />
3. โครงการประเภทการพัฒนาหรือการประดิษฐ์ <br />
4. โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎีหรือการอธิบาย <br />
<br />
วิธีการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ <br />
การทำโครงงานวิทยาศาสตร์มีขั้นตอนที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ <br />
ขั้นที่ 1 การคิดและเลือกชื่อเรื่องหรือปัญหาที่จะศึกษา <br />
ขั้นที่ 2 การวางแผนในการทำโครงงาน <br />
ขั้นที่ 3 การลงมือทำโครงงาน <br />
ขั้นที่ 4 การเขียนรายงาน <br />
ขั้นที่ 5 การแสดงผลงาน </strong></span>อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-83757838984698975922011-05-11T19:55:00.000-07:002011-05-13T13:49:38.414-07:00งานมอบหมายชิ้นที่ 1<span style="color: black;"><span style="font-family: MS Sans Serif;">1.วิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กันอย่างไร<br />
2. จงบอกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตามความเข้าใจ<br />
3. วิธีการคิดทางวิทยาศาสตร์มีกี่ขั้นพร้อมอธิบาย<br />
4. สมมุติฐานต่างจากการพยากรณ์อย่างไรจงอธิบาย</span><br />
</span>อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-10108311221618218572011-05-11T19:51:00.000-07:002011-05-13T13:49:38.388-07:00ใบงานที่1 เรื่องทักษะทางวิทยาศาสตร์<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><b><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">ความหมายของวิทยาศาสตร์</span></span></b><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><br />
<span style="color: black;"><span lang="TH">จากการวิเคราะห์คำว่า</span> “Science” <span lang="TH">ที่มีมาจากคำว่า </span>Sientea <span lang="TH">ในภาษาลาติน แปลว่า ความรู้ (</span>Knowledge) <span lang="TH">กล่าวได้ว่า วิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ นอกจากนี้ยังกล่าวได้ว่าวิทยาศาสตร์ คือ องค์ความรู้ที่มีระบบและจัดไว้อย่างมีระเบียบแบบแผนโดยทั่วไปกระบวนการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์</span> (The Process of Science) <span lang="TH">ประกอบด้วยระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (</span>Scientific Method) <span lang="TH">และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ (</span>Scientific Attitude) <span lang="TH">ดังรูป</span></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;"><span lang="TH"></span><br />
<img height="156" src="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science04/109/unt2/pu/image004.gif" width="504" /></span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span><br />
<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">กล่าวโดยสรุป </span><span lang="TH" style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">วิทยาศาสตร์ คือ องค์ความรู้ของธรรมชาติและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการสืบเสาะหาความรู้ และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการสืบเสาะหาความรู้นั้นอาศัยการสังเกตเป็นพื้นฐาน</span></span><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><br />
<span lang="TH"><span style="color: black;">ประเภทของวิทยาศาสตร์</span></span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">การแบ่งประเภทของวิทยาศาสตร์ มีการแบ่งหลายระบบ แต่ละระบบมีเหตุผลและหลักเกณฑ์ต่างๆ กัน และหากจำแนกตามธรรมชาติของวิชา สามารถจำแนกได้ </span></span><span style="color: black;"><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">3 <span lang="TH">สาขา คือ</span></span>1<span style="color: black;">) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์กายภาพ</span><br />
2) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์ชีวภาพ</span><br />
3) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์สังคม </span></span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">- <span lang="TH">วิทยาศาสตร์กายภาพ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่างๆ ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและจักรวาล ในส่วนของสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ เคมี ธรณีวิทยา และคณิตศาสตร์ ฯลฯ </span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">- <span lang="TH">วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่างๆ ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและจักรวาล ในส่วนของสิ่งมีชีวิต เช่น ชีววิทยา สัตววิทยา ฯลฯ </span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">- <span lang="TH">วิทยาศาสตร์สังคม เป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ และพฤติกรรมของมนุษย์ที่รวมกันอยู่เป็นชุมชนหรือสังคม เช่น สังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ ฯลฯ ในส่วนวิทยาศาสตร์กายภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ</span></span><b><br />
<span style="color: black;"><span lang="TH">เมื่อพิจารณารวมกันแล้ว สามารถจัดแบ่งเป็น </span>2 <span lang="TH">ประเภท คือ </span></span></b></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์</span></span><span style="color: black;"><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"> <br />
<span style="color: black;"><b><span lang="TH">วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (</span>Pure Science) </b><span lang="TH">คือความรู้ความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติที่เป็นไปตามกฎพื้นฐานของธรรมชาติ รวมทั้งปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จัดเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย กฎและทฤษฎีต่างๆ ตลอดจนความจริงหรือข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอดที่มาจากการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เนื่องจากความต้องการที่จะหาความรู้ด้านต่างๆ </span></span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span lang="TH" style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (</span><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">Applied Science)</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"> <span lang="TH">คือ การนำองค์ความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์</span><br />
<span lang="TH">วิทยาศาสตร์มีลักษณะสำคัญ สรุปได้ดังนี้คือ</span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">1) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์ได้มาจากประสบการณ์ และทดสอบด้วยประสบการณ์ ในที่นีความรุ้ที่มาจากประสบการณ์ เรียกว่า </span>“<span lang="TH">ความรู้เชิงประจักษ์</span>” <span lang="TH">หรือความรู้เชิงประสบการณ์ (</span>Expirial Knowledge) <span lang="TH">โดยอาศัยประสาทสัมผัสทั้งห้าร่วมกับทักษะการสังเกต</span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">2) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์ต้องเป็นสาธารณะ ความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบจะต้องแสดงหรือทดลองให้ทุกคนเห็นได้เหมือนกัน และความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ของส่วนตัวแต่เป็นสาธารณะ คือ ผู้อื่นอาจรู้เห็นอย่างเดียวกันกับผู้ค้นพบได้</span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">3) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์มีลักษณะเป็นสากล นักวิทยาศาสตร์พยายามขยายความรู้ให้เป็นสากลมากที่สุดเพราะความรู้ที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมีความหมายน้อย และขาดการยอมรับ</span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">4) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์ช่วยในการคาดหมายอนาคต วิทยาศาสตร์มีลักษณะความเป็นสากลใช้ได้โดยทั่วไป จึงสามารถคาดหมายสิ่งที่จะเกิดในอนาคตได้ ทั้งนี้การคิดค้นกฎและทฤษฎีต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์เพื่อคาดหมายในอนาคต</span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><span style="font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;">5) <span lang="TH">วิทยาศาสตร์เป็นปรนัย เมื่อวิทยาศาสตร์ถูกยอมรับและพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง ดังนั้นไม่ว่าใครจะนำไปพิสูจน์อีกเมื่อใด ที่ใดก็ตาม ผลที่ออกมาย่อมเหมือนเดิม ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ เพราะวิทยาศาสตร์มีลักษณะไม่คงที่แน่นอนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เมื่อมีการค้นพบความรู้ใหม่ ทั้งนี้เป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางด้านวิทยาการใหม่ๆ</span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><span style="color: black;"><b><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจแบ่งเป็น </span></span></b><b><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">6 </span><span lang="TH"><span style="color: black;">ประเภท สรุปได้ดังนี้</span> </span></span></b></span><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><br />
<span style="color: black;">1) <span lang="TH">ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์</span><br />
2) <span lang="TH">ความคิดรวบยอดหรือมโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์</span> <br />
3) <span lang="TH">ความจริงหลักหรือหลักการ</span> <br />
4) <span lang="TH">กฎ</span> <br />
5) <span lang="TH">สมมุติฐาน</span> <br />
6) <span lang="TH">ทฤษฎี </span></span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></div><div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; mso-margin-bottom-alt: auto; mso-margin-top-alt: auto;"><b><span lang="TH" style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><span style="color: black;">วิธีการทางวิทยาศาสตร์ สามารถระบุเป็นขั้นตอนได้ดังนี้</span></span></b><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"><br />
<span style="color: black;"><span lang="TH">ขั้นที่ </span>1 <span lang="TH">ระบุปัญหา</span><br />
<span lang="TH">ขั้นที่ </span>2 <span lang="TH">รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหา</span><br />
<span lang="TH">ขั้นที่ </span>3 <span lang="TH">ตั้งสมมุติฐาน</span><br />
<span lang="TH">ขั้นที่ </span>4 <span lang="TH">สังเกตรวบรวมผล และ/หรือการทดลอง</span><br />
<span lang="TH">ขั้นที่ </span>5 <span lang="TH">สรุปผลการสังเกต และ/หรือการทดลอง</span><br />
<br />
<b><span lang="TH">ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ </span></b><br />
<span lang="TH">สมาคมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (</span>American Association for the Advancement of Science-AAAS) <span lang="TH">ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ทั้งสิ้น </span>13 <span lang="TH">ทักษะ </span></span></span><span style="font-family: Tahoma; mso-bidi-font-size: 12.0pt;"></span></div><span style="color: blue; font-family: "Microsoft Sans Serif"; font-size: 12pt; mso-ansi-language: EN-US; mso-bidi-language: TH; mso-fareast-font-family: "Times New Roman"; mso-fareast-language: EN-US;"><span style="color: black;">1. <span lang="TH">ทักษะการสังเกต (</span>Observation) <br />
2.<span lang="TH">ทักษะการวัด (</span>Measurement) <br />
3. <span lang="TH">ทักษะการคำนวณ (</span>Using numbers) <br />
4. <span lang="TH">ทักษะการจำแนกประเภท (</span>Classification) <br />
5. <span lang="TH">ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา (</span>Space/space Relationship and Space/Time Relationship) <br />
6. <span lang="TH">ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล</span> (Organizing data and communication) <br />
7. <span lang="TH">ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล</span> (Inferring)<br />
8. <span lang="TH">ทักษะการพยากรณ์ (</span>Prediction) <br />
9. <span lang="TH">ทักษะการตั้งสมมุติฐาน</span> (Formulating hypothesis) <br />
10. <span lang="TH">ทักษะการกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (</span>Defining operationally) <br />
11. <span lang="TH">ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร (</span>Identifying and controlling variables) <br />
<span lang="TH">ตัวแปรอิสระ หรือ ตัวแปรต้น คือ ตัวแปรที่เป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลง</span> <br />
<span lang="TH">ตัวแปรตาม คือ ตัวแปรที่เปลี่ยนไปตามการจัดการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต้น</span><br />
<span lang="TH">ตัวแปรควบคุม คือ ตัวแปรอื่นๆ นอกจากตัวแปรต้นที่มีผลให้ตัวแปรตามเปลี่ยนแปลงได้เราจึงต้องควบคุม</span> <br />
12. <span lang="TH">ทักษะการทดลอง (</span>Experimenting) <br />
13. <span lang="TH">ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (</span>Interpretting data and conclusion) </span></span></div><shapetype coordsize="21600,21600" filled="f" id="_x0000_t75" o:preferrelative="t" o:spt="75" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" stroked="f"><stroke joinstyle="miter"></stroke><formulas><f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"></f><f eqn="sum @0 1 0"></f><f eqn="sum 0 0 @1"></f><f eqn="prod @2 1 2"></f><f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"></f><f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"></f><f eqn="sum @0 0 1"></f><f eqn="prod @6 1 2"></f><f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"></f><f eqn="sum @8 21600 0"></f><f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"></f><f eqn="sum @10 21600 0"></f></formulas><path gradientshapeok="t" o:connecttype="rect" o:extrusionok="f"></path><lock aspectratio="t" v:ext="edit"></lock></shapetype>อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-91501654705250436792010-10-07T18:04:00.000-07:002010-10-07T18:04:28.538-07:00งานมอบหมาย1.ให้นักเรียนช่วยกันสร้างคำขวัญเรื่องการอนุรักษณ์ทรัพยากรธรรมชาติมา 1 คำขวัญ<br />
2. จงบอกประโยชน์ของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติมา 5 ข้อ <br />
3.จงบอกสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนมา 5 ข้อ<br />
งานมีทั้งหมด 3 ข้อ 20 คะแนนอ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-51117134509487138962010-09-14T22:56:00.000-07:002010-09-14T22:57:47.028-07:00ยินดีต้อนรับ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjsJDLEIx1G1sCohHxQDB02K7QSVyDXTOGlGUKYJWhikqHLUpIBwajIWj1omlozkwe9grbghIaQ6qHBEerARUFhQtF2CBfmRXSKImepBxD32yXVwtwq4aII3YcCe3gZXFPd9_xeT5qmXc/s1600/15.bmp" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="233" qx="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjsJDLEIx1G1sCohHxQDB02K7QSVyDXTOGlGUKYJWhikqHLUpIBwajIWj1omlozkwe9grbghIaQ6qHBEerARUFhQtF2CBfmRXSKImepBxD32yXVwtwq4aII3YcCe3gZXFPd9_xeT5qmXc/s320/15.bmp" width="320" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
</div> <span style="color: red;"> ยินดีต้อนรับสู่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่อยู่ใกล้ตัว</span>อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-80993300165976082142010-09-14T03:41:00.000-07:002010-09-14T03:41:07.040-07:00สิ่งที่ควรจะรู้ลองดูว่าเป้นอย่างไรกันบ้างนะคะ<br />
<br />
<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/6mVvELgTucU?fs=1&hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/6mVvELgTucU?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-16490485383185981802010-09-14T02:55:00.000-07:002010-09-14T03:20:54.562-07:00การช่วยกันป้องกันการป้องกัน ...........<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/c6KmYiMSrQs?fs=1&hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/c6KmYiMSrQs?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-73078233184267406242010-09-14T02:44:00.000-07:002010-09-14T03:31:38.150-07:00ความรู้ที่อยู่ใกล้ตัวมหันตภัยที่อยู่ใกล้ตัว<br />
<object width="480" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/2fAdxLl_h5o?fs=1&hl=en_US"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/2fAdxLl_h5o?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></embed></object>อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6685065367999757518.post-27099838645260481822010-09-14T01:57:00.000-07:002010-09-14T02:32:18.000-07:00เกร็ดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ภาวะโลกร้อนเป็นยังไง..................... ใครรู้บ้าง<br />
..........................<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIu6jf-QaGIcIgWk4cZMUhRjD8L7gZI_yywhb5VHUcWxqdVW99ieDzOB-MAw36V049ftxYgeqbHSOi94XsC0ZNNtdZL150W-bOs3k8MGybuyOXp_9BeQ47QKEU4IbJgwDJDM0tLR6M8BM/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="178" qx="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiIu6jf-QaGIcIgWk4cZMUhRjD8L7gZI_yywhb5VHUcWxqdVW99ieDzOB-MAw36V049ftxYgeqbHSOi94XsC0ZNNtdZL150W-bOs3k8MGybuyOXp_9BeQ47QKEU4IbJgwDJDM0tLR6M8BM/s200/images.jpg" width="200" /></a></div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;"><br />
</div><br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ถ้าไม่รู้ลองดูที่นี่สิ..............................อ๋อมแอ๋มhttp://www.blogger.com/profile/03072740441498733375noreply@blogger.com0